5 วิธีทำ Cold Call ให้ลูกค้าอยากฟังต่อ
- corporatesales87
- 1 day ago
- 1 min read

แม้ว่าในยุคดิจิทัล การขายออนไลน์จะมาแรง แต่ “Cold Call” หรือ “การโทรหาลูกค้าใหม่โดยตรง” ยังคงเป็น เครื่องมือสำคัญที่นักขายมืออาชีพไม่ควรมองข้าม
เพราะในหลายกรณี การโทรคุยโดยตรงยังช่วย “สร้างความเชื่อมั่น” ได้ดีกว่าข้อความหรืออีเมล และช่วยให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์เร็วขึ้น
แต่คำถามคือ...📞 ทำยังไงให้ลูกค้า อยากฟังต่อ ไม่วางสายกลางคัน ?มาดู 5 เทคนิค Cold Call ที่ใช้ได้จริงในปี 2026 กันเลย
🔹 Cold Call คืออะไร?
Cold Call คือ การโทรติดต่อหาลูกค้าที่ยังไม่รู้จักแบรนด์ของเรา เพื่อแนะนำสินค้า บริการ หรือจองนัดหมาย
แตกต่างจาก “Warm Call” ที่ลูกค้าเคยมีการติดต่อหรือแสดงความสนใจกับแบรนด์มาก่อน เช่น ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์หรือแอดไลน์
แม้จะเป็น “Cold” แต่ถ้าทำถูกวิธี ก็สามารถ “เปลี่ยนสายเย็นให้กลายเป็นโอกาสขายร้อนแรง” ได้เช่นกัน
🔸 5 วิธีทำ Cold Call ให้ลูกค้าอยากฟังต่อ
☑️ 1. เตรียมข้อมูลลูกค้าให้พร้อมก่อนโทร
ความผิดพลาดของนักขายมือใหม่คือ โทรโดยไม่รู้ว่าปลายสายคือใครก่อนโทรทุกครั้ง ควร หาข้อมูลลูกค้าเบื้องต้น เช่น
ชื่อบริษัท / ตำแหน่ง
ธุรกิจหลักของลูกค้า
ปัญหาที่เขาอาจเจอ (Pain Point)
💡 ตัวอย่าง:
“สวัสดีค่ะ ดิฉันพลอยจาก Albaly Group เห็นว่าทางบริษัทของคุณทำธุรกิจด้าน Logistics ตอนนี้กำลังขยายตลาดต่างประเทศอยู่ใช่ไหมคะ...”
การเปิดด้วยข้อมูลเฉพาะแบบนี้ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “คุณตั้งใจหาข้อมูลมา ไม่ได้โทรแบบสุ่ม”
🕒 2. เปิดบทสนทนาให้น่าสนใจภายใน 10 วินาทีแรก
10 วินาทีแรกคือ จุดตัดสินใจว่าลูกค้าจะฟังต่อหรือไม่ดังนั้นอย่าเริ่มต้นด้วยคำพูดขายทันที เช่น
❌ “สวัสดีค่ะ ขออนุญาตเสนอสินค้าหน่อยได้ไหมคะ?”
ให้เริ่มด้วย “ประโยคเชื่อมโยง” ที่แสดงความเข้าใจหรือคุณค่า เช่น
✅ “สวัสดีค่ะ ดิฉันจากบริษัทที่ช่วยธุรกิจ SME เพิ่มลูกค้าใหม่ผ่านระบบนัดหมายอัตโนมัติ อยากทราบว่าตอนนี้ทีมขายของคุณมีปัญหาด้านการติดต่อลูกค้าใหม่บ้างไหมคะ?”
ลูกค้าจะรู้สึกว่า คุณเข้าใจธุรกิจเขา ไม่ได้โทรมาขายของอย่างเดียว
💬 3. ใช้ Script Cold Call ที่ยืดหยุ่น ไม่แข็งทื่อ
การมี Script ดีเป็นเรื่องดี แต่การอ่านตามสคริปต์แบบหุ่นยนต์กลับทำให้ลูกค้าเบื่อเคล็ดลับคือ “เขียน Script ที่มีโครงสร้าง แต่เปิดช่องให้ดัดแปลงได้”
🧩 ตัวอย่างโครงสร้าง Script Cold Call:
แนะนำตัว (1 ประโยค)
กล่าวถึง Pain Point ของลูกค้า
เสนอคุณค่า (Value Proposition)
ชวนคุยต่อ / ขอเวลานัด
“หลายบริษัทตอนนี้มีปัญหาเรื่องการหาลูกค้าใหม่ ดิฉันอยากขอนำเสนอวิธีที่ช่วยทีมขายเพิ่มโอกาสนัดลูกค้าได้มากขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ สนใจให้ส่งข้อมูลสั้น ๆ ให้ดูไหมคะ?”
🤝 4. ปิดการโทรด้วยการสร้าง Commitment เล็ก ๆ
อย่าพยายามปิดการขายทันทีในสายแรกเป้าหมายของ Cold Call คือ “ให้ลูกค้าเปิดใจคุยต่อ” มากกว่า “ปิดดีลทันที”
📍 ตัวอย่าง Commitment ที่เหมาะสม:
นัดคุยเพิ่มเติม 15 นาที
ขออนุญาตส่งข้อมูลทางอีเมล
ชวนเข้าร่วมสัมมนาฟรี
ลูกค้าจะรู้สึกว่าไม่ถูกกดดัน แต่ก็ยังมีโอกาสคุยต่อในขั้นถัดไป
📈 5. ติดตามผลหลังโทร (Follow Up) อย่างต่อเนื่อง
การโทรครั้งเดียวอาจไม่พองานวิจัยด้านการขายบอกว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องได้รับการติดตาม 3–5 ครั้งก่อนจะตอบตกลง
💡 เทคนิค Follow Up ที่ไม่ดูน่ารำคาญ:
ส่งอีเมลสรุปสั้น ๆ หลังคุย
ทักทายแบบให้คุณค่า เช่น “ส่งบทความนี้มาเผื่อทีมของคุณสนใจครับ”
โทรติดตามหลังจากส่งข้อมูล 2–3 วัน
การติดตามอย่างมีมารยาท จะช่วยเพิ่มโอกาสเปลี่ยน “สายเย็น” ให้เป็น “ดีลจริง” ได้สูงมาก
🔁 สรุป: Cold Call ยังสำคัญ แต่ต้องทำอย่างมืออาชีพ
Cold Call ไม่ใช่เรื่องล้าสมัย หากคุณเข้าใจวิธีการโทรให้ถูกจังหวะการเตรียมข้อมูลลูกค้า + การพูดอย่างจริงใจ + การติดตามต่อเนื่องคือ 3 ปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าฟังคุณจนจบ และเปิดโอกาสในการขายมากขึ้น